ปุ๋ยชีวภาพ
เชื้อจุลินทรีย์ที่จะกล่าวถึงในหัวข้อนี้ เป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่มักอาศัยอยู่ที่รากหรือปมรากของพืช โดยอยู่แบบพี่งพาอาศัยกับพืช นั่นคือเชื้อจุลินทรีย์จะได้รับอาหารจากพืชและในขณะเดียวกัน ตัวมันก็จะช่วยในการตรึงหรือย่อยสลายธาตุอาหารในดินให่้พืชดูดซึมนำไปใช้
ในที่นี้ได้แบ่งเชื้อเป็นสามกลุ่ม ตามสามธาตุอาหารหลัก (ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม) ที่จุลินทรีย์เหล่านี้ช่วยให้พืชได้รับ
จุลินทรีย์ที่ให้ธาตุไนโตรเจน
จุลินทรีย์กลุ่มนี้มีความสามารถในการสร้างเอนไซม์ไนโตรจิเนส ซึ่งสามารถเปลี่ยนก๊าซไนโตรเจนให้กลายเป็นกระอะมิโนและสารประกอบไนโตรเจนอื่นๆ ให้พืชนำไปใช้ได้ โดยมีสองกลุ่มใหญ่ๆคือ
กลุ่มที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมกับพืช
- ไรโซเบียม (Rhizobium) อาศัยอยู่กับพืชตระกูลถั่ว
- แฟรงเคีย (Frankia sp.) อาศัยอยู่ร่วมกับพืชสกุล Cassuaria เช่น สนประดิพัทธ์ สนทะเล
- อะนาบีนา (Anabaena azollae) อาศัยอยู่กับแหนแดง
- นอสทอก (Nostoc) เป็นสาหร่ายอาศัยอยู่กับต้นปรง
กลุ่มที่ไม่ต้องอาศัยอยู่ร่วมกับพืช
- อะโซโทแบคเตอร์ (Azotobacter)
- อะโซสไปริลลัม (Azospirillum)
ในที่นี้จะขอกล่าวแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับเชื้อไรโซเบียม ซึ่งอาศัยอยู่ที่ปมรากของของพืชตระกูลถั่วและช่วยตรึงไนโตรเจนจากอากาศได้ โดยจุลินทรีย์ดังกล่าว มักถูกนำไปใช้ร่วมกับปุ๋ยพืชสดตระกูลถั่วเพื่อบำรุงดิน ทั้งนี้ข้อสำคัญคือต้องเลือกชนิดของไรโซเบียมให้ถูกต้องกับพืชตระกูลถั่วชนิดนั้นๆ
สามารถสั่งซื้อปุ๋ยชีวภาพไรโซเบียมได้ที่กลุ่มงานวิจัยจุลินทรีย์ดิน กรมวิชาการเกษตร 02-579-7522-3 ในราคาถุงละ 20 บาท ควรมีการสั่งซื้อล่วงหน้า โดยระบุชนิดและปริมาณเมล็ดพันธุ์ที่ต้องการใช้ เพื่อสอบถามปริมาณปุ๋ยชีวภาพไรโซเบียมที่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น
- ปุ๋ยชีวภาพไรโซเบียมปอเทือง 1 ถุงต่อเมล็ดพันธุ์ปอเทือง 4 กิโลกรัม
- ปุ๋ยชีวภาพโสนอัฟริกัน 1 ถุงต่อเมล็ดพันธุ์โสนอัฟริกัน 4 กิโลกรัม
- ปุ๋ยชีวภาพไรโซเบียมถั่วพร้า 1 ถุงต่อเมล็ดพันธุ์ถั่วพร้า 10 กิโลกรัม
ทั้งนี้ ชนิดของพืชตระกูลถั่วที่ทางกรมวิชาการเกษตรมีเชื้อโรโซเบียมให้บริการ มีดังนี้
พืชเศรษฐกิจ | ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง ถั่วเหลืองฝักสด |
---|---|
พืชผัก | ถั่วฝักยาว ถั่วแดงหลวง ถั่วดำ ถั่วลันเตา ถั่วพู ถั่วหรั่ง ถั่วแปบ ถั่วปากอ้า ถั่วหวาน |
พืชบำรุงดิน | ถั่วพร้า ถั่วพุ่ม ถั่วลิสงเถา เพอราเลีย ถั่วเซนโตรซิมา ถั่วซีราโตร ถั่วมะแฮะ ถั่วพุ่มดำ ถั่วอัลฟาฟ่า ถั่วคาโลโปโกเนียม ไมยราบไร้หนาม โสน ปอเทือง |
พืชอาหารสัตว์ | ถั่วฮามาต้า อัลฟาฟ่า ถั่วเซนโตรซีมา ถั่ววินคาเซีย ถั่วคาลวาเคต ไมยรา |
พืชยืนต้น | กระถินเทพา กระถินณรงค์ กระถินยักษ์ ประดู่ ไม้แดง ไม้สาธร ชิงชัน พยุง แคบ้าน แคฝรั่ง จามจุรี พฤกษ์ ทองหลาง |
ปุ๋ยชีวภาพไรโซเบียมสามารถเก็บได้นานประมาณ 6 เดือน ที่อุณหภูมิ 20-30 องศาเซลเซียส และประมาณ 1 ปี ที่ 4-10 องศาเซลเซียส
สำหรับข้าวฟ่่างและข้าวโพด ทางกลุ่มงานวิจัยจุลินทรีย์ดิน มีการผลิตและจำหน่ายปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์1 ซึ่งประกอบด้วยแบคทีเรียสามสกุล คือ อะโซโทแบคเตอร์ อะโซสไปริลลัม และไบเจอริงเคีย ซึ่งแบคทีเรียเหล่านี้จะช่วยตรึงไนโตรเจน ละลายฟอสเฟต และสร้างสารกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช ปริมาณการใช้อยู่ที่ประมาณ 1 ถุงต่อเมล็ดพันธุ์สำหรับ 1 ไร่ การเก็บรักษาเชื้อ สามารถเก็บได้ชั่วคราวโดยไว้ในที่ร่มที่อุณหภูมิห้อง และจะเก็บได้นาน 1-3 เดือน หากเก็บที่อุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส
สำหรับนาข้าว ทางกลุ่มงานวิจัยจุลินทรีย์ดิน มีการผลิตและจำหน่ายเชื้อพันธุ์แหนแดงที่มีเชื้ออะนาบีนาอาศัยอยู่เพื่อใช้ขยายพันธุ์เป็นปุ๋ยพืชสดให้แก่นาข้าวต่อไป
นอกจากนี้ สำหรับเชื้ออะโซโทแบคเตอร์ ก็จะมีอยู่ใน พด.12 ของกรมพัฒนาที่ดิน ซึ่งจะกล่าวถึงภายใต้หัวข้อจุลินทรีย์ที่ให้ธาตุโพแทสเซียมต่อไป
จุลินทรีย์ที่ให้ธาตุฟอสฟอรัส
ธาตุฟอสฟอรัสเป็นธาตุที่มีการละลายที่ไม่ดีนัก และมักอยู่ในรูปที่ไม่เป็นประโยชน์แก่พืช โดยเฉพาะในดินที่มีค่าความเป็นกรดหรือด่างต่ำหรือสูงเกินไป นอกจากนี้ ฟอสฟอรัสยังเป็นธาตุที่มีการเคลื่อนที่ในดินน้อยมาก ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงทำให้มีโอกาสสูงที่พืชจะไม่สามารถนำธาตุฟอสฟอรัสในพื้นที่มาใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้นจีงมักพบว่า การใช้จุลินทรีย์ที่ช่วยแปรสภาพให้ฟอสฟอรัสอยู่ในรูปที่ละลายได้ดีขึ้น และที่พืชนำไปใช้งานได้ง่าย ส่งผลให้การเจริญเติบโตของพืชดีขี้นในหลายพื้นที่
ทางกลุ่มงานวิจัยจุลินทรีย์ดิน กรมวิชาการเกษตร มีเชื้อสองจำพวกที่แนะนำให้ใช้
ปุ๋ยชีวภาพไมโครไรซ่า
เป็นปุ๋ยที่ประกอบไปด้วยเชื้อราอาบัสคูลาไมโครไรซ่า โดยเชื้อจะอาศัยอยู่ที่บริเวณรากพืช และเจริญเข้าไปภายในรากแบบพึ่งพาอาศัยกัน โดยพืชจะให้อาหารจำพวกน้ำตาลแก่ไมโครไรซ่า ส่วนไมโครไรซ่าจะช่วยดูดธาตุอาหารที่สลายตัวยาก โดยเฉพาะฟอสฟอรัสและส่งต่อให้แก่พืช นอกจากนี้ยังช่วยให้รากพืชแตกแขนงมากขี้น และช่วยให้พืชทนทานต่อโรครากเน่าได้อีกด้วย
โดยปุ๋ยชีวภาพไมโครไรซ่าสามารถใช้ได้ดีกับไม้ผล ไม้ยืนต้น ยางพาราและพืชผักบางชนิด เช่นหน่อไม่ฝรั่ง ปริมาณการใช้ที่เหมาะสมขี้นอยู่กับอายุของพืช ซึ่งสามารถตรวจสอบรายละเอียดได้จากเอกสารแนะนำของทางกรมวิชาการเกษตร โดยปริมาณที่ใช้น้อยและคุ้มค่าที่สุด คือใช้กับดินเพาะชำในปริมาณ 2-3 กรัม (ครึ่งช้อนชา) ต่อต้น โดยเชื้อจะอยู่ในรากพืชไปตลอดชีวิตของพืช
สามารถสั่งซื้อปุ๋ยชีวภาพไมโครไรซ่าได้ที่กลุ่มงานวิจัยจุลินทรีย์ดิน กรมวิชาการเกษตร 02-579-7522-3 บรรจุถุงละ 500 กรัม ในราคาถุงละ 60 บาท โดยควรมีการสั่งซื้อล่วงหน้า
สามารถเก็บปุ๋ยชีวภาพไมโครไรซ่าได้ที่อุณหภูมิห้องแต่ต้องไม่สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส และไม่โดนแสงแดดโดยตรง เป็นเวลานาน 1 ปี
ปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟต
จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตเป็นกลุ่มของจุลินทรีย์ได้แก่ เชื้อแบคทีเรีย ราเส้นใย ยีสต์ และแอคติโนมัยซีส โดยจุลินทรีย์เหล่านี้สามารถละลายอนินทรีย์ฟอสฟอรัสให้พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้ ทั้งนี้สามารถใช้ร่วมกับหินฟอสเฟตเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการให้ธาตุฟอสฟอรัสมากขี้น
ปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟตของกรมวิชาการเกษตร มีจุลินทรีย์หลักเป็นจุลินทรีย์ประเภทเชื้อรา penicillium sp. และ/หรือ Pseudomonas sp. โดยสามารถใช้ได้ดีกับพืชผัก ปริมาณการใช้ที่เหมาะสมขี้นกับอายุของพืช ซึ่งสามารถตรวจสอบรายละเอียดจากเอกสารแนะนำของทางกรมวิชาการเกษตร โดยปริมาณที่ใช้น้อยและคุ้มค่าที่สุดคือใช้ผสมกับดินเพาะชำในปริมาณ 1 กรัม (1/4 ช้อนชา) ต่อหนี่งถาดเพาะ
สามารถสั่งซื้อได้ที่กลุ่มงานวิจัยจุลินทรีย์ดิน กรมวิชาการเกษตร 02-579-7522-3 บรรจุถุงละ 500 กรัม ในราคาถุงละ 30 บาท โดยควรมีการสั่งซื้อล่วงหน้า ควรเก็บในที่เย็น ร่ม และมีอากาศถ่ายเท
จุลินทรีย์ที่ให้ธาตุโพแทสเซียม
เช่นเดียวกับฟอสฟอรัส โพแทสเซียมในหลายพื้นที่ มักอยู่ในรูปที่พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้ยาก จุลินทรีย์ในกลุ่มแบคทีเรียบางพวกจะสามารถเข้าช่วยย่อยโพแทสเซียมในรูปแบบดังกล่าว ให้พืชนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุลินทรีย์พวกนี้ได้แก่ บาซิลลัส (Bacillus) บางชนิด
โดยจุลินทรีย์บาซิลลัส ดังกล่าวมีอยู่ใน ปุ๋ยชีวภาพ พด.12 ที่จะได้กล่าวแนะนำ ณ. ที่นี้
พด.12
ประกอบด้วยแบคทีเรียที่สำคัญดังนี้
- แบคทีเรียตรีงไนโตรเจน Azotobacter tropicalis
- แบคทีเรียละลายฟอสเฟต Burkholderia unamae
- แบคทีเรียละลายโพแทสเซียม Bacillus subtilis
- แบคทีเรียผลิตฮอร์โมนพืช Azotobacter chroococcum
โดยสามารถติดต่อขอรับ พด.12 ได้ฟรี ที่กรมพัฒนาที่ดิน โดยก่อนนำไปใช้ ต้องมีการขยายเชื้อก่อนดังนี้
วัตถุดิบ
- ปุ๋ยหมัก 300 กิโลกรัม
- รำข้าว 3 กิโลกรัม
- ปุ๋ยชีวภาพ พด.12 1 ซอง
วิธีทำ
- ผสม พด.12 และรำข้าวในน้ำ 20 ลิตร คนให้เข้ากันนาน 5 นาที
- รดสารละลาย พด.12 ลงบนกองปุ๋ยหมักและคลุกเคล้าให้เข้ากัน รดน้ำให้มีความชื้นประมาณ 70% (ทดสอบได้โดยจับขึ้นมากำควรจะมีน้ำออกมาเล็กน้อย เมื่อคลาย ยังคงสภาพอยู่ได้) ย่ำให้พอแน่น
- ตั้งกองปุ๋ยเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สูงประมาณ 50 เซนติเมตร และใช้วัสดุคลุมเพื่อรักษาความชี้น
- กองปุ๋ยหมักในที่ร่มเป็นระยะเวลา 4 วัน แล้วจึงนำไปไช้ได้
ปริมาณที่ใช้
พืชไร่ พืชผัก ใช้ที่ประมาณ 300 กิโลกรัม/ไร่
คุณสมบัติสำคัญของเชื้อกลุ่มนี้ คือไม่เป็นอันตรายต่อพืช แต่จะช่วยทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ในดิน ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคในพืช ตัวอย่างของเชื้อในกลุ่มนี้ได้แก่ เชื้อราไตรโคเดอร์ม่า (Trichoderma sp.) และเชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส (Bacillus sp.)
ในที่นี้จะขอกล่าวโดยละเอียดถึงเชื้อราไตรโคเดอร์ม่าเนื่องจากมีคุณสมบัติที่ดี ในการยับยั้งเชื้อราอื่นๆหลากหลายชนิด
เชื้อราไตรโคเดอร์ม่า
กลไกการควบคุมเชื้อโรคพืช
กลไกการควบคุมเชื้อโรคพืชของเชื้อราไตรโคเดอร์ม่าสามารถแบ่งได้เป็นสามหลักใหญ่ๆคือ
- ทำหน้าที่เป็นปาราสิต หรือแข่งขันในการใช้แหล่งอาหารและปัจจัยต่างๆของเชื้อโรคพืช
- เส้นใยของเชื้อราไตรโคเดอร์ม่าเข้าพันรัดรอบเส้นใยของเชื้อโรคพืช โดยอาจแทงเข้าสู่เส้นใยของเชื้อโรคพืช เส้นใยเชื้อโรคพืชที่ถูกพันรัดจะเกิดช่องว่างหรือเหี่ยวแฟบแล้วสลายตัวไปในที่สุด
- ผลิตเอนไซม์ทำให้เกิดการเหี่ยวสลายของเส้นใยเชื้อโรคพืช
ชนิดของเชื้อราที่ควบคุมได้
- เชื้อราพิเทียม (Pythium spp.) ทำให้เกิดโรคแคงเกอร์ที่ลำต้น โรคยอดเน่าของต้นกล้า โรครากเน่า-โคนเน่า ต้นเน่า โรคเน่าคอดิน
- เชื้อราฟิวซาเรียม (Fusarium spp.) ทำให้พืชเกิดโรคกล้าไหม้ รากเน่า โคนลำต้นหรือกอเน่าแห้ง ผลเน่า โรคเหี่ยว
- เชื้อราสเคลอโรเทียม (Sclerotium rolfsii) ทำให้เกิดโรคกล้าไหม้ โรคราเมล็ดผักกาด โรคโคนเน่า
- เชื้อราไรช็อกโทเนีย (Rhizoctonia spp.) ทำให้เกิดอาการโรคเมล็ดเน่า เน่าระดับคอดิน กล้าไหม้ รากเน่า หัวเน่า แคงเกอร์บนลำต้น
- เชื้อราไฟท็อบธอร่า (Phytopthora spp.) ทำให้พืชเกิดอาการโรครากเน่า–โคนเน่า เน่าดำยอด และรากเน่า
- เชื้อราคอลเลคโตตริกรัม (Collectotrichum spp.) ทำให้เกิดโรคแอนแทรกโนสในพืชผักต่างๆ
ชนิดของพืชที่เหมาะสม
- ไม้ผล โรคไม้ผลที่เกิดจากเชื้อราไฟท็อปธอร่า เกิดอาการโรครากเน่า–โคนเน่า ในทุเรียนและส้ม ควบคุมโรคได้โดยใช้เชื้อราไตรโคเดอร์ม่าพร้อมส่วนผสมรองก้นหลุมก่อนปลูก หรือโรยรอบโคนต้นตามรัศมีทรงพุ่มไม้ผล
- พืชไร่ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง ยาสูบ หม่อน มันสำปะหลัง ฝ้าย ที่เกิดอาการโรคยอดเน่าของต้นกล้า โรครากเน่า–โคนเน่า โรคโคนและต้นเน่า โรคเน่าคอดิน ควบคุมโรคโดยการโรยเชื้อราไตรโคเดอร์ม่าพร้อมส่วนผสมรอบโคนต้นพืช หรือคลุกเมล็ดในพืชบางชนิด เช่น ฝ้าย ก่อนนำไปปลูก
- พืชผัก เช่น พืชสวน มะเขือเทศ พริก มะเขือเปราะ แตง กระเจี๊ยบ ถั่วฝักยาว หอมใหญ่ เกิดอาการโรคราเมล็ดผักกาด โรคเหี่ยว รากเน่าโคนเน่า เน่าคอดิน ควบคุมโรคโดยการโรยเชื้อราไตรโคเดอร์ม่าพร้อมส่วนผสมรอบโคนต้นหรือคลุกเมล็ดก่อนปลูก
- ไม้ดอกไม้ประดับ เช่น มะลิ ซ่อนกลิ่น โป๊ยเซียน เยอบีร่า กล้วยไม้พันธุ์ Mokara เกิดอาการโรคเหี่ยว ควบคุมโดยโรยเชื้อราไตรโคเดอร์ม่าพร้อมส่วนผสมโรยรอบโคนต้น
ที่จำหน่ายเชื้อราไตรโคเดอร์ม่า
สามารถสั่งซื้อเชื้อไตโครเดอร์ม่าได้จากทางห้องปฏิบัติการ ควบคุมโรคพืชโดยชีวภาพ ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน นครปฐม 034-281-047 โดยหากซื้อเป็นหัวเชื้อชนิดแห้ง จะมีวิธีการเตรียมเชื้อก่อนนำไปใช้ดังนี้
วิธีผลิตเชื้อสดจากไตรโคเดอร์ม่าชนิดแห้ง
- หุงข้าว หรือปลายข้าวด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ในอัตรา ข้าว 3 ส่วนต่อน้ำ 2 ส่วน (สำหรับข้าวแข็ง) หรือ ข้าว 5 ส่วนต่อน้ำ 3 ส่วน (สำหรับข้าวใหม่ หรือข้าวอ่อน) ซึ่งเมื่อหุงออกมาแล้วจะได้ข้าวในลักษณะกึ่งสุกกึ่งดิบ
- เมื่อหม้อหุงข้าวดีดให้ตักใส่ถุงขณะที่ยังร้อน โดยใช้ถุงทนร้อนขนาด ประมาณ 8นิ้วx11นิ้ว ใส่ถุงละประมาณ 250 กรัม (ประมาณ 3 ทัพพี) แล้วพับปากถุงทิ้งไว้ให้เย็น
- เมื่อข้าวเย็น (เหลือความอุ่นเล็กน้อย) นำมาใส่หัวเชื้อไตรโคเดอร์ม่า ถุงละ 2–3 กรัม (หรือประมาณเท่าเมล็ดข้าวโพด 1 เมล็ด) ต่อถุง แล้วเย็บปากถุงด้วยลวดเย็บกระดาษ หรือใช้ยางวงรัดปากถุงให้แน่น จากนั้นขยำหัวเชื้อคลุกกับข้าว แล้วใช้เข็มแทงถุงเพื่อระบายอากาศ 30 – 40 รู การใส่หัวเชื้อควรทำในที่ที่ไม่มีลม เช่นในห้องที่ปิดมิดชิด
- นำถุงข้าวที่ใส่เชื้อแล้วไปวางในที่ร่ม รอให้เชื้อเดิน การวางถุงให้วางราบกับพื้นและเกลี่ยข้าวให้แบนบางๆ พร้อมกับโหย่งถุงด้านบนขึ้น เพื่อให้อากาศไหลเวียนได้ทั่วถุง วางทิ้งไว้ประมาณ 7 วัน เชื้อจะเดินเต็มถุง สร้างสปอร์เป็นสีเขียวเข้ม สามารถนำไปใช้งานได้ (เชื้อสดที่ได้ควรนำไปใช้ทันที หรือเก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดาได้นาน 1 เดือน)
วิธีการนำเชื้อสดไตรโคเดอร์ม่าไปใช้
- ใช้คลุกเมล็ด เชื้อสด 10 กรัม (1 ช้อนแกง) ต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม
โดยนำเชื้อสดใส่ลงในถุงพลาสติก แล้วเติมน้ำสะอาดเล็กน้อย จากนั้นใส่เมล็ดพืช แล้วเขย่าให้สปอร์สีเขียวเกาะติดเมล็ดพืชโดยทั่วถึง สามารถนำเมล็ดพืชไปปลูกได้ทันที - ใช้แช่เมล็ด | ฉีดพ่น | รดลงดิน เชื้อสด 1 กิโลกรัม ต่อน้ำ 200-400 ลิตร
โดยนำเชื้อสดผสมน้ำ กรองผ่านผ้าขาวบาง (ขยำให้สปอร์เชื้อสดละลายน้ำผ่านผ้าขาวบางไป) สามารถนำไปใช้แช่เมล็ด ท่อนพันธุ์ แง่ง เหง้า หน่อ กิ่งตอน (12-24 ชั่วโมง) หรือใช้พ่นต้นพืช รดหรือราดลงดินบริเวณโคนต้น หรือใต้ทรงพุ่ม - ใช้ผสมปุ๋ยหมัก เชื้อสด 1 กิโลกรัม ต่อปุ๋ยหมัก 100 กิโลกรัม
- ใช้หว่านบริเวณใต้ทรงพุ่มหรือบริเวณโคนต้น ในอัตรา 50-100 กรัมต่อตารางเมตร
- ใช้รองก้นหลุม ในอัตรา 10-20 กรัมต่อหลุม
- ใช้ผลมดินเพาะกล้า ตามปริมาณปุ๋ยหมักที่เหมาะสม
การใช้เชื้อราไตรโคเดอร์ม่าร่วมกับเชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส
กรมพัฒนาที่ดิน ได้พัฒนาสารเร่ง พด.3 เพื่อใช้ในการป้องกันและยับยั้งเชื้อโรคพืช โดยมีการใช้เชื้อราไตรโคเดอร์ม่าร่วมกับเชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส
พด.3
ประกอบด้วยจุลินทรีย์ที่สำคัญคือ
- เชื้อราไตรโคเดอร์ม่า (Trichoderma sp.)
- เชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส (Bacillus sp.)
โดยสามารถติดต่อขอรับ พด.3 ได้ฟรี ที่กรมพัฒนาที่ดิน แต่ก่อนนำไปใช้ต้องมีการขยายเชื้อก่อนดังนี้
วัตถุดิบ
- ปุ๋ยหมัก 100 กิโลกรัม
- รำข้าว 1 กิโลกรัม
- ปุ๋ยชีวภาพ พด.3 1 ซอง
วิธีทำ
- ผสม พด.3 และรำข้าวในน้ำ 5 ลิตร คนให้เข้ากันนาน 5 นาที
- รดสารละลาย พด. 3 ลงบนกองปุ๋ยหมักและคลุกเคล้าให้เข้ากัน รดน้ำให้มีความชื้นประมาณ 70% (ทดสอบได้โดยจับขึ้นมากำควรจะมีน้ำออกมาเล็กน้อย เมื่อคลาย ยังคงสภาพอยู่ได้) ย่ำให้พอแน่น
- ตั้งกองปุ๋ยเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สูงประมาณ 50 เซนติเมตร และใช้วัสดุคลุมเพื่อรักษาความชี้น
- กองปุ๋ยหมักในที่ร่มเป็นระยะเวลา 7 วัน แล้วจึงนำไปไช้ได้
ปริมาณที่ใช้
พืชไร่และพืชผัก ใช้ที่ประมาณ 100 กิโลกรัม/ไร่
แหล่งที่มาข้อมูล
- หนังสือ "เกษตรธรรมชาติ" ทิพวรรณ สิทธิรังสรรค์
- http://www.pmc04.doae.go.th/Myweb-2011-data1/11%20Trichoderma/11%20Trichoderma.html
- http://www.pmc05.doae.go.th/Trichoderma.pdf
- http://www.oknation.net/blog/print.php?id=827907